ตอนอยู่ไทยพีบีเอสผมมีกาแฟให้เลือกกินนับไม่ถ้วน มันเป็นการเลือกอย่างหนุ่มหล่อที่มีดอกไม้นานาพรรณให้ดอมดม
เม็ดกาแฟทั้งบดแล้ว ทั้งยังไม่บด ทั้งสำเร็จรูป และอีกหลายประเภทวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ มันมาจากมิตรรักแฟนเพลงที่หอบหิ้วข้ามดอย ลัดทุ่ง ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาปรนเปรอ แต่ปัญหาของชายหนุ่มสูงระหงทรงเพรียวเรียวรูดที่มีใบหน้าประดุจประติมากรรมของ “มีเกลันเจโล” ก็พอมีอยู่
ลิ้นของผมมันรับรสได้เลวมาก จมูกก็พิสูจน์กลิ่นได้อย่างหยาบ สมองจึงจำแนกแยกแยะไม่ออกว่าแบบไหนคือกาแฟชั่วกาแฟดี
บดเสร็จ ใส่ที่กรอง กดน้ำร้อนใส่ นั่งจิบชั่วครู่คราว ถ้าคาเฟอีนไม่ออกฤทธิ์ก็ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าวันแล้ววันเล่าโดยปราศจากการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
เป็นคนหยาบที่เสพเครื่องดื่มละมุนละไมเยี่ยงคนหยาบ
ที่ WAY มีกาแฟให้เลือกไม่มาก พูดให้ชัดกว่านั้นคือ มันมีอยู่อย่างเดียวคือกาแฟที่บดเสร็จแล้วในบรรจุภัณฑ์รอชง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ใคร่จะทราบที่มาที่ไปของมันนัก
แต่การสนทนาในเช้าวันหนึ่งทำให้ผมเริ่มกลับมาทบทวนพฤติกรรมของตนเอง
กาแฟมีหลายที่มา หลายกรรมวิธี คั่วอย่างไร ชงอย่างไร ใช้น้ำร้อนที่กี่องศาเซลเซียส ปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้ได้รสตามมาตรฐานแห่งศีลธรรม
อืมมมมมม!
ขนาด “กาแฟ” ยังมีเรื่องเล่ารายทางถึงเพียงนี้ ผมไม่อยากจินตนาการถึงการดื่ม “เบียร์” เอาเสียเลย