เวลาเข้าครัวทำอาหาร เครื่องมือที่จำเป็นที่สุดของยุคนี้คือ “กล้อง” ครับ คือทำครัว ทำเอง กินเอง มันก็สนุกอยู่หรอก แต่โลกยุคนี้ต้องยอมรับว่ามันเปลี่ยนไป ไอ้ครั้นจะนั่งคิด นึกคิด เขียนเอง ทำเอง บ่นเองอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ก็กลับกลายเป็นว่าไม่สนุกแล้ว
ตื่นมาบ่ายๆ หิวข้าวเปิดตู้เย็นเห็นเศษๆ เหลือๆ พอจินตนาการออกได้ว่าจะทำอะไรกิน สิ่งที่ต้องเตรียมนอกจากวัตถุดิบแล้วขาดๆ เกินๆ บ้าง แต่ที่ขาดไม่ได้เลยกลับกลายเป็นกล้องเสียนี่
ในตู้เย็นของผมมีขนมจีนอยู่ครับ เป็นขนมจีนเปล่าที่เพื่อนซื้อมาฝากได้สักอาทิตย์นึงแล้ว เก็บใส่ถุงพลาสติกคลุมแช่เย็นไว้ อย่าได้รังเกียจรังงอนอะไรมันนะครับ ขนมจีนเนี่ยเก็บไว้ได้นาน โดยเฉพาะหากเก็บไว้ในตู้เย็น เวลาจะทำกินค่อยเอาออกมาแล้วลวกอีกครั้งเป็นใช้ได้
ส่วนคำถามใหญ่คือ ลวกเสร็จแล้วจะกินกับอะไรเนี่ย อันนี้สำคัญ
โดยปกติแล้วกินขนมจีนก็ต้องมีน้ำยาใช่ไหมครับ ปัญหาคือ ห้องผมไม่มีกระชายเลยแม้แต่นิดเดียว มันก็เลยต้องพลิกแพลงหน่อยๆ ด้วยการสำรวจวัตถุดิบที่เหลือว่ามีอะไรบ้าง
- ขนมจีนเปล่า เพื่อนเอามาฝาก
- ต้นหอม เพิ่งซื้อมาจากตลาดสด
- ผักชี เพิ่งซื้อมาจากตลาดสด
- หอมแดง เพิ่งซื้อมาจากตลาดสด
- มะเขือเทศ เพิ่งซื้อมาจากตลาดสด
- กระเทียม เอามาจากบ้าน
- พริกป่น เอามาจากบ้าน
- ข่า เอามาจากบ้าน
- น้ำปลา ห้องใครไม่มีนี่แนะนำให้ซื้อติดไว้บ้างนะครับ
- น้ำส้มสายชู เวลากินก๊วยเตี๋ยวแล้วได้น้ำส้มสายชูมาเกินก็จะเก็บไว้
- ปลากระป๋อง ซื้อเก็บไว้นานแล้ว
- เกลือ ซื้อเก็บไว้
- ใบมะกรูด ปลูกไว้ที่ดาดฟ้า
- ตะไคร้ ปลูกไว้ที่ดาดฟ้า
มีวัตถุดิบแค่นี้ครับ เศษๆ เหลือๆ ไม่งามหรอก แต่ก็จัดการมันมาปรุงเป็นอาหารตามสภาพ อย่างที่บอกว่าขาดเครื่องเทศสำคัญนั่นก็คือ “กระชาย” มันก็คงไม่สามารถทำน้ำยาได้อย่างที่ควรจะเป็น
แต่…อย่าไปยึดติดมาก พลิกแพลงบ้างก็ได้ไอ้ทิด
ทำน้ำยาปกติไม่ได้ ก็ทำ “ขนมจีนน้ำยาต้มยำปลากระป๋อง” ไม่เห็นจะยากอะไรชิมิ?
ผมจะข้ามวิธีการลวกเส้นขนมจีนไปนะครับ เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่าต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่เส้นขนมจีนลงไป พอให้นิ่มๆ ก็ตักออกมาเก็บไว้ เพราะฉะนั้นขออนุญาตข้ามไปเรื่องการทำน้ำยาเลยแล้วกัน
ต่อไปนี้คือการทำ “น้ำยาต้มยำปลากระป๋อง” วิธีการคือ (*คำเตือน ระหว่างทำควรได้รูปบ่อยๆ)
- เอาหม้อหุงข้าวใส่น้ำค่อนๆ หม้อ แล้วจัดการต้มน้ำซะ อย่าลืมใส่เกลือสักนิด การใส่เกลือจะทำให้น้ำมีความปะแล่มๆ ลดความพร่าของอาหารได้
- เอาพริกป่น/ข่า/ตะไคร้/หอมแดง/กระเทียม ที่หั่นโขลกไว้ต้มไปก่อน เพื่อทำให้น้ำมีความหอมเข้าแทรกซึมไปในเนื้อน้ำรวมทั้งเครื่องเทศอื่นๆ ที่จะตามไปหลังจากนี้ จะใส่มากใส่น้อยเอาตามสะดวก อย่าไปเกร็งมาก
- พอน้ำเดือดก็ใส่ปลากระป๋องลงไป อยากทำให้เละหรือยังเป็นก้อนปลาอยู่ก็ทำได้ตามสบาย ไม่ต้องกลัวว่าการกวนปลาระหว่างทำจะมีอาการคาว เพราะปลากระป๋องมันไม่สดอยู่แล้ว คือมันไม่ใช่ปลาสด มันผ่านการปรุงแต่งแล้ว เพราะฉะนั้นสบายใจข้อนี้ได้
- ต้มสัก 2-3 นาที ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ให้เอามะเขือเทศใส่ลงไป แล้วต้มอีกสัก 3 นาที มะเขือเทศจะช่วยทำให้อาหารมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ
- ใส่ต้นหอมผักชีใบมะกรูดลงไป ทิ้งไว้สัก 30 วินาทีก็ถอดปลั๊กหม้อหุงข้าวได้แล้ว พวกมือใหม่หัดทำอาหารจะงงว่าทำไมต้องเอาต้นหอม ผักชี ใบมะกรูดใส่ทีหลัง สาเหตุก็เพราะผักพวกนี้มีเนื้ออ่อน การต้มไว้นานๆ จะทำให้เละ เอาแค่โดนความร้อนสุดท้ายของไฟก็พอแล้ว โดยเฉพาะใบมะกรูด ขืนไปต้มไว้นานๆ จะพาลขมเอาเสียดื้อๆ เชียวนะ
- ถอดปลั๊กหม้อหุงข้าวที่เปลี่ยนมาเป็นหม้อทำน้ำยาแล้วใช่ไหม ที่เหลือก็ปรุงแต่งใส่น้ำส้มสายชู (ถ้ามีมะนาวจะดีกว่า) น้ำปลาลงไป ชิมเอาตามความต้องการ
- เสร็จแล้วก็ตักเอามาราดขนมจีน เอามากินได้เลย
เรียบร้อยครับ กินให้อิ่มหนำสำราญแล้วทำงานต่อในยามบ่ายได้
ข้อดีของการทำกับข้าวกินเองคือ ไม่ต้องไปอารมณ์เสียเวลาเจอกับข้าวไม่อร่อย คือถ้าเราทำไม่อร่อยก็บ่นใครไม่ได้ จะด่าตัวเองก็คงผิดวิสัยไปหน่อย และที่มากไปกว่านั้นคือ ไม่ต้องอาบน้ำประแป้งเพื่อเดินออกจากห้องไปหาข้าวกิน เพราะทันทีที่เดินออกจากห้องมันจะไม่ได้จ่ายแค่ค่าข้าว แต่จะมีค่าโน่น นี่ นั่น จิปาถะตามมาอีกมากมาย
ข้อสำคัญสุดท้ายคือ การฝึกทำอาหารบ่อยๆ มันเป็นการรับประกันอย่างหนึ่งว่าเราจะไม่อดตายไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนครับ
ส่วนใครที่บอกว่าทำไม่เป็น ไม่รู้สูตร เครื่องปรุงเครื่องเทศไม่ครบนั้น เลิกคิดไปได้เลยครับ เพราะการทำอาหารมันเป็นเรื่องของการ Apply ครับ ข้อนี้ผมรู้ดีกว่าใคร เพราะอาหารแต่ละอย่างที่ทำ เกิดจากการมั่วและความน่าจะเป็นล้วนๆ